ฤดูเหมันต์ของแคว้นหลี่ปีนี้หนาวเหน็บกว่าทุกปี หิมะขาวปุกปุยโปรยปรายปกคลุมทั่วลานตำหนักเย็น กลีบดอกเหมยสีเลือดที่ผลิบานเพียงไม่กี่ดอกพลันร่วงหล่นราวกับร่ำไห้
กลางลานว่างเปล่า บนลานศิลาเย็นเฉียบจนกระดูกแทบแตกซ่าน เด็กสาวในชุดผ้าแพรบางคุกเข่าอยู่ผู้เดียว ผ้าคลุมบ่าขาดวิ่น เศษหิมะเกาะตามปลายผมที่พันกันยุ่งเหยิง
“เซียนหลัน” เจ้าหญิงลำดับที่สี่แห่งแคว้นหลี่
ลูกของฮ่องเต้กับพระชายาที่สิ้นพระชนม์แต่เล็ก
วันนี้…นางไม่ใช่เจ้าหญิง
แต่เป็นเพียงเด็กสาวที่ถูกสั่งลงโทษในข้อหา “ลอบวางยาองค์ชายซูเหยียน” รัชทายาทองค์ปัจจุบัน
ข้อหาเหลวไหลที่ไม่มีใครแม้แต่จะไต่สวน
เพียงเพราะผู้กล่าวหาคือ “กุ้ยเฟยซูเจิน” พระสนมเอกผู้มีอำนาจล้นวังหลัง
แม่เลี้ยงที่อุปการะนางมาตั้งแต่เยาว์วัย—และเป็นมารแท้จริงในคราบนางฟ้า
เสียงฟาดของแส้หวายดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เซียนหลันกลับไม่ร้องสักคำ
แม้เลือดจะไหลซึมจากแผ่นหลังจนเปื้อนหิมะเป็นวงกว้าง
“หากเจ้าไม่ผิด เหตุใดจึงต้องหลบซ่อนเข็มพิษใต้หมอน?”
เสียงของกุ้ยเฟยเอ่ยอย่างสงบนิ่ง แต่นัยน์ตาเต็มไปด้วยความสะใจ
“หม่อมฉันไม่เคย… ไม่เคยแม้แต่จะสัมผัสมัน…”
เซียนหลันพยายามอธิบาย แต่เสียงก็แหบพร่า น้ำตาร่วงจากดวงตาแดงก่ำ
เงาร่างสูงโปร่งของกุ้ยเฟยย่อตัวลงกระซิบชิดใบหูเธอ ราวกับกลัวว่าหิมะจะได้ยิน
“เจ้าผิดที่เกิดมา—และผิดที่เสด็จพ่อเจ้ารักเจ้าเกินไป”
“ข้าจะทำให้เขาเกลียดเจ้าจนลืมว่าเจ้าเคยเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน”
นางหัวเราะแผ่วเบา คล้ายเสียงดอกไม้แห้งแตกร้าว
เสียงฝีเท้าทหารเวรที่หายไปจากลานในยามวิกาลคือคำยืนยัน—ไม่มีใครมาช่วย
คืนนี้ หงส์น้อยจะกลายเป็นศพเย็นชืดไร้ผู้เห็นใจ
⸻
ในวินาทีสุดท้าย ก่อนสติจะเลือนราง เซียนหลันหันไปมองทิศตะวันออก—ทิศของตำหนักหลวง
สายตาที่เปี่ยมความหวังว่าสักวัน เสด็จพ่อจะเชื่อในความบริสุทธิ์ของลูกหญิงคนนี้…
แต่ไม่มีเสียงฝีเท้า ไม่มีราชองค์รักษ์ ไม่มีแสงตะเกียงจากตำหนักใหญ่
มีเพียงความมืด กับเสียงของหิมะตกกระทบร่างอันเย็นชา
“เสด็จพ่อ…ข้ายังไม่ทันได้บอกท่านว่า ข้ารักท่านมากเพียงใด…”
ร่างของเจ้าหญิงเซียนหลันทรุดลงในหิมะขาว
ทิ้งไว้เพียงรอยเลือด สีแดงสดที่แต้มลงบนฉากฟ้าขาวของค่ำคืนเงียบงัน