ในวังหลัง หมากทุกตัวล้วนยิ้มก่อนแทง
⸻
ท้องฟ้ายามเช้ายังไม่ทันปลุกแสงสีทองให้สาดส่องทั่วท้องพระโรง เสียงกระซิบกระซาบก็เริ่มก้องในทางเดินหินอ่อนของตำหนักหลวง
“ได้ยินหรือไม่? องค์หญิงเซียนหลันแอบเข้าตำหนักขององค์ชายเมื่อสองยามที่ผ่านมา”
“เห็นว่าถูกพบอยู่ในเรือนหยกขาวที่หวงห้ามหญิงใดเข้า”
“ว่ากันว่านางนำขนมมงคลไปให้…”
กระซิบที่เริ่มจากเสียงหนึ่ง กลายเป็นสายฝนหนักที่ไหลไปทั่ววังในภายในครึ่งชั่วยาม
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าผู้เริ่มปล่อยข่าวคือใคร แต่ผู้เดียวที่ยืนชมดอกเหมยในตำหนักหรู นัยน์ตาอ่อนโยนจนเกินจริง คือ ซูเมิ่งอวี่
⸻
“นางเลือกเดินเข้าหมอกเอง…”
ซูเมิ่งอวี่ยกพัดผ้าไหมลายหงส์บังมุมปาก สายตาเหม่อมองผีเสื้อที่โบกปีกข้ามดอกบ๊วยอย่างแผ่วเบา
“ข้าเพียงให้คนไปวางขนมในเรือนขององค์ชายโดยใช้ชื่อของนาง” เสียงนางเอ่ยกับนางกำนัลข้างกาย “หากมีใครพบ…ข้าก็แค่แสดงความห่วงใย”
นางหรี่ตาลงอย่างเยือกเย็น
“ผู้ที่ล้ำเส้นก่อน มักตกบ่วงด้วยมือของตนเอง”
⸻
ความเงียบของเซียนหลัน…ไม่เคยไร้เหตุผล
ภายในตำหนักเซียนเยี่ยน เซียนหลันกำลังนั่งเรียงสมุดบัญชีตำหนักเล็กจากรัชสมัยก่อน
ใบหน้านิ่งสนิท แต่ดวงตาคมลึกกว่าน้ำในทะเลสาบ
“เรื่องขนมในเรือนหยกขาว…พี่รองเชื่อไหมว่าเป็นข้าจริง?”
เสียงนั้นไม่มีทั้งอารมณ์ปะทะหรือโทษ แต่กลับทำให้ ซูเหยียน ที่ยืนเงียบอยู่ต้องเบือนหน้าหนี
ความรู้สึกคล้ายเข็มทิ่มในอก แม้เขาจะเป็นองค์ชาย…แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธว่าในวัยเยาว์ นางคือผู้ที่เคยยืนปกป้องเขาในวันที่ถูกโบยผิดคน
เขาอึกอักเล็กน้อย ก่อนตอบเสียงแผ่ว
“ข้าไม่อาจตัดสินในสิ่งที่ยังไม่ปรากฏความจริง…แต่ข้าไม่อยากให้เรื่องนี้กลายเป็นดาบสองคมกับเจ้า”
⸻
เวินอี้เฉินกับจดหมายไร้ชื่อ
ยามเที่ยงวัน ขณะเซียนหลันนั่งอยู่ในสวนไผ่ กล่องหยกเล็กถูกส่งถึงนางโดยหญิงชรารับใช้ผู้หนึ่ง พร้อมจดหมายที่เขียนเพียงประโยคเดียวด้วยลายมือปลอม
“ตราประทับของวังหลัง มิได้อยู่ในมือผู้ที่ควรถือ”
นางนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเงยหน้ามองฟ้า
“เวินอี้เฉิน…” นางกระซิบเบา
⸻
เจียงซินหลัวที่เริ่มไหวหวั่น
ที่มุมตำหนักฉางซิน เจียงซินหลัวกำลังนั่งจิบน้ำชา
ข่าวลือถึงเซียนหลันซึ่งลอบเข้าหาองค์ชายแพร่ไปถึงหูนางเช่นกัน
แต่สิ่งที่สะกิดใจนางกลับไม่ใช่ตัวข่าว…แต่เป็น “สายตา” ของเซียนหลันที่นางเผลอจ้องตอบในคืนก่อน
แววตานั้นนิ่ง…ไม่มีทั้งพิษ ไม่มีทั้งอ้อนวอน
แต่กลับสื่อบางอย่างที่นางรู้สึกว่า “ผู้ถูกล่า” ไม่เคยมองกลับเช่นนี้มาก่อน
⸻
กลางลานตำหนัก — หมากที่ไม่ทันรู้ตัว
ยามบ่าย ตำหนักกลางจัดงานถวายผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ประจำฤดู
องค์หญิงทุกพระองค์ได้รับเชิญร่วม
เมื่อเซียนหลันเดินเข้า ลานทั้งลานเงียบลงในชั่วขณะ
ไม่ใช่เพราะความสูงศักดิ์…แต่เพราะ เสียงลือ ล่วงหน้าของนาง
ซูเมิ่งอวี่เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มแสนหวาน หยิบผลท้อสีชมพูงามวางบนถาดตรงหน้า
“ได้ยินว่าองค์หญิงเซียนหลันชื่นชอบของหวาน ข้าน้อยจึงนำผลท้อนี้มาถวาย”
ทุกสายตาหันมามอง ขณะนั้น พระมารดาเชื้อพระวงศ์องค์หนึ่งพูดขึ้นเสียงแผ่ว
“ได้ข่าวว่าองค์หญิงเพิ่งส่งขนมไปถึงตำหนักองค์ชายเมื่อคืนหรือ?”
⸻
คำตอบของเซียนหลันที่พลิกกระดาน
นางยิ้มบาง
ก่อนตอบเสียงนุ่ม แต่ชัดเจนจนผู้คนรอบลานได้ยิน
“ขนมมิได้สำคัญ หากผู้ส่งขาดมารยาท ส่วนข้าหากจะมอบใจ ย่อมไม่มอบผ่านของหวานที่ส่งในยามวิกาล”
คนในลานอึ้งไปในขณะนั้น
แม้ไม่กล่าวชื่อผู้ใด…แต่ทุกคนล้วนรู้ว่าใครคือผู้ถูกกล่าวถึง
นางไม่มีหลักฐาน…แต่หมากถูกวางไว้ให้หมู่ชนเป็นผู้ตัดสินแทน
⸻
หางม้าที่แทรกเข้าในสายลม
ภายหลังงานถวายผลไม้จบลง นางเดินกลับตำหนักช้า ๆ
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ตามหลังมาเพียงครู่เดียว ก่อนชายเสื้อคลุมสีครามเข้มจะปรากฏเคียงข้าง
เฟิงอวี้หาน ไม่เอ่ยคำใด เพียงส่งซองจดหมายเล็ก ๆ ให้
“มีคนปลอมลายเซ็นเจ้าบนคำขอเบิกผ้าไหมจากหอคลัง…” เขาวางซองไว้ในมือเธอ
“ข้าให้คนตรวจพบร่องรอย…และรู้ว่าข้อมูลนี้อาจถึงหูคนที่เจ้าระแวง”
เซียนหลันรับไว้ นัยน์ตาไร้คลื่น
“เหตุใดจึงช่วยข้า?”
เฟิงอวี้หานนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเบา
“เพราะเจ้าต่างจากผู้หญิงที่ข้าเคยพบ…เจ้ารู้ว่าเมื่อไรควรเงียบ และเมื่อไรควรใช้คำพูดให้เจ็บกว่าน้ำแข็ง”
แล้วเขาหันหลังจากไป ทิ้งกลิ่นหอมอ่อนของจันทน์เทศในลมเย็น