ในวังหลัง ดาบบางเล่มไม่จำเป็นต้องเปื้อนเลือด…จึงจะทำร้ายได้ลึกที่สุด
⸻
คืนยามซวี ลมต้นฤดูใบไม้ผลิพัดแผ่ว เหมือนจะอ่อนโยนแต่ก็แฝงความเยือกเย็นในทุกก้าวย่าง เสียงระฆังประจำหอคำสัตย์ดังขึ้นสองครั้ง เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามี “แขก” ลักลอบเข้าในเขตต้องห้าม
แต่คืนนี้…ไม่มีขันทีคนใดกล้ารายงานขึ้นตรง
เพราะแขกที่ลอบเข้าคือคนของ “กุ้ยเฟยซูเจิน”
⸻
เจียงซินหลัวสวมชุดคลุมคล้ายสาวใช้ เดินเงียบในแนวไม้ด้านหลังตำหนักเซียนเยี่ยน
นางได้รับ “ข่าวลือ” จากคนของตนว่า คืนนี้มีคำสั่งจากซูเจินให้นำของบางอย่างไปฝังใต้ต้นเหมยขาวที่อยู่ใกล้ตำหนักของเซียนหลัน
แต่สิ่งที่นางไม่ได้คาด…คือ จะพบกับ “อีกเงา” ที่รออยู่ก่อนแล้ว
“เจ้ามาช้าไปก้าวหนึ่ง…สายของข้าเห็นคนปล่อยห่อผ้านั้นไปตั้งแต่ยามห้าย”
เสียงของ เวินอี้เฉิน เอ่ยขึ้นจากมุมมืด เขาโยนถุงผ้าสีอ่อนให้ นางรับไว้ เปิดดู…
…ภายในคือขวดยาสีดำชนิดเดียวกับที่พบในเหตุวางยาขุนนางเมื่อหลายปีก่อน—คดีที่มารดาของเซียนหลันถูกกล่าวหา
⸻
“เจ้าคิดจะทำอะไรกับมัน?” นางถาม
เวินอี้เฉินตอบเสียงเรียบ “ส่งต่อไปยังหอชำระความ…แต่ไม่ใช่จากมือข้า—ต้องเป็นคนที่ ‘มีสิทธิ์’ พอจะทำให้ข่าวไม่หายระหว่างทาง”
นางนิ่งงันไป ก่อนจะกระซิบ
“…ข้าเป็นแค่ทูตต่างแคว้น ไม่มีสิทธิ์ยื่นเรื่องตรง”
เวินอี้เฉินสบตานาง
“เจ้ากำลังเลือกข้างอยู่ ซินหลัว และครั้งนี้ ไม่มีพื้นที่ให้เดินตรงกลางอีกแล้ว”
⸻
ในห้องหนังสือลับของตำหนักเล็ก เซียนหลันจุดตะเกียงเพียงดวงเดียว นางใช้เข็มเงินแกะผนึกของจดหมายฉบับเก่าที่เพิ่งได้มาจากเวินอี้เฉิน
“ตราประทับ…คือกุญแจสำคัญในคดีของมารดาข้า…” นางพึมพำ
ในจดหมายนั้น มีการกล่าวถึงการเบิกยาสำหรับองค์หญิงจิ้งเฟย (ชื่อเก่าของมารดานาง) โดยใช้ตราเดียวกันกับที่ถูกปลอมในตอนนี้
หมากของซูเจิน ไม่ได้เพิ่งเริ่มวางในยุคของเซียนหลัน
แต่วางมาก่อนหน้านั้นนานนัก… เพียงแต่ไม่มีใครจับได้ว่า ทุกอย่างเชื่อมโยงกัน
⸻
เย็นวันถัดมา องค์ชายซูเหยียนเดินเข้ามาในลานไผ่ของตำหนักเซียนหลัน
แววตาเขาหนักแน่นขึ้นกว่าเดิม แต่น้ำเสียงยังคงอ้อมแอ้มเมื่อเผชิญหน้านาง
“ข้า…จำบางอย่างได้ ในวันนั้น ตอนที่มารดาของเจ้า…ถูกพาตัวไป ข้าก็อยู่ที่ตำหนักกุ้ยเฟย”
เซียนหลันหยุดพัดที่นางถือไว้ครู่หนึ่ง
“แล้วเจ้าทำอะไรในวันนั้นบ้าง?”
เขากัดริมฝีปากแน่น ก่อนตอบ
“…ข้ายืนอยู่ข้างซูเจิน และข้าไม่ได้พูดอะไร”
นางเงียบไปนาน ก่อนจะถามเสียงเรียบ
“เพราะกลัว? หรือเพราะเลือกจะเงียบ?”
เขาตอบไม่ได้
แต่นั่นเองที่เป็นการตอกลึกลงไปในใจของเขา ว่า…ถึงจะเป็นพี่น้องกัน แต่ความทรงจำของแต่ละฝ่ายต่างกันราวแผ่นดินและผืนฟ้า
⸻
เมื่อเขาก้าวออกไป เซียนหลันยืนอยู่นิ่ง ๆ ตรงลานดอกเหมย
“แม้ดาบของเขาไม่เปื้อนเลือด…แต่ก็เคยยืนมองเลือดหยดลงพื้นโดยไม่เอื้อนเอ่ย”
นางพูดกับตัวเองเบา ๆ
ดอกเหมยสีขาวร่วงลงมาที่ไหล่นางพอดี
และแสงอาทิตย์ยามสนธยาก็จางหายลงกับความเงียบในหัวใจ
⸻
ในห้องลับของเขาเอง เฟิงอวี้หาน กำลังพลิกเอกสารที่เพิ่งได้จากคนของเวินอี้เฉิน
เมื่ออ่านจบ เขาหยิบแหวนตราโลหะเล็กขึ้นมาพินิจ พลางพูดกับตัวเองเบา ๆ
“เจ้ากำลังวางกับดักให้ทุกคนเดินเข้าไปด้วยเท้าเปล่า ไม่รู้ตัวเลยหรือว่า คนที่ยืนอยู่กลางเปลวเพลิง…คือเจ้าเอง เซียนหลัน”
เขาพึมพำพร้อมถอนหมั้นหมายเก่าที่ยังติดค้างในบันทึกหลวงอย่างเงียบงัน
เพราะเขารู้ว่า…ต่อให้ต้องเดินข้ามเข็มนับหมื่น เขาก็จะไม่ยอมให้เงาหงส์นั้นตกเป็นเบี้ยในเกมของใคร