ในวังหลัง หากน้ำแข็งเงียบงันได้ยาวนานเพียงพอ เพลิงภายในจะระเบิดออกในจังหวะที่ทุกคนคาดไม่ถึง
⸻
เช้าวันนั้น ท้องฟ้าครึ้มหนักเหมือนจะมีฝน ทั้งที่ยังไม่ถึงฤดูมรสุม ความเงียบงันคล้ายชั้นน้ำแข็งบาง ๆ ปกคลุมทั่ววังหลัง ราวกับธรรมชาติเองก็กำลังรอการระเบิดบางอย่าง
ในห้องชั้นในของตำหนักเซียนเยี่ยน เซียนหลันนั่งอยู่เบื้องหน้าตราประทับที่ถูกวางลงกลางโต๊ะ
ไม่ใช่ตราของนาง…แต่เป็น “ตราเท็จ” ที่ทำเลียนแบบอย่างแนบเนียน
“เจ้าแน่ใจหรือ?” เวินอี้เฉินเอ่ยขึ้นด้วยเสียงต่ำ ดวงตาเขาหยั่งลึกในแบบที่แม้แค่แสดงความห่วงก็ยังไม่แน่ใจว่าเป็นความหวังดีจริงหรือเปล่า
“แน่ใจ” นางตอบเรียบ “เพราะหากไม่ใช่ข้าเริ่มก่อน คนอื่นจะเริ่มแทน และข้าไม่เชื่อใจหมากที่ข้าควบคุมไม่ได้”
เซียนหลันวางจดหมายที่เขียนลายมือเป๊ะทุกขีดส่งไปยังหอรับสั่ง
หัวข้อคือ “คำขอให้ตรวจสอบตราพระราชทานของฝ่ายในอย่างเปิดเผย”
ข่าวนั้นเหมือนคบเพลิงที่จุดกลางถังน้ำมัน
ทั้งวังเริ่มสั่น
⸻
พระราชโองการเร่งด่วนจากองค์ฮ่องเต้หลี่ซือเฉินถูกส่งลงมาในยามเฉิน
ระบุว่าให้มีการ “ตรวจสอบและลงทะเบียนตราราชวงศ์ของฝ่ายในทุกดวง” ภายในสามวัน
และในคำสั่งนั้น ยังระบุชื่อผู้จะเป็นหัวหน้าคณะตรวจสอบไว้ชัดเจน—เฟิงอวี้หาน
ผู้ที่ในอดีต…ไม่เคยแตะต้องเรื่องวังหลังเลยแม้แต่น้อย
⸻
ซูเจินมองข่าวนี้ด้วยสีหน้าแข็งค้างในตำหนักหยกอิง
แก้วหยกในมือหลุดจากนิ้วหล่นแตก
“เซียนหลัน…เจ้าคิดว่าเจ้าแน่แค่ไหน?”
คำพูดนั้นหลุดผ่านไรฟัน ข้างกายนางกำนัลคนสนิทเริ่มถอยห่างด้วยความกลัว
⸻
และแล้ว “วันตรวจตรา” ก็มาถึง
ท้องพระโรงย่อยที่อยู่ถัดจากหอคำสัตย์ถูกแปลงเป็นที่ประชุมของเหล่าสนมฝ่ายใน
หญิงสาวในชุดงดงามหลากสีทยอยเข้าสู่ห้องอย่างกดดัน
เซียนหลันเดินเข้ามาเป็นคนสุดท้าย
ทุกสายตาหันมามอง…แต่ไม่มีคำพูดใดกล้าดังขึ้น
พระเอก…ยืนอยู่แล้วด้านหน้า เขายืนตรงกลางโต๊ะใหญ่ พยักหน้าเล็กน้อยให้นาง—แต่ไม่ได้ส่งยิ้ม ไม่ได้ผงกศีรษะแบบสุภาพชน
มีเพียงแววตาที่ “มั่นใจ” ว่านางจะทำให้เรื่องนี้จบอย่างเหนือชั้น
⸻
นางเข้าตรวจตราตราแต่ละดวง ร่วมกับขันทีใหญ่และขุนนางจากหอชำระความ
หลายดวงพบความคลาดเคลื่อนเล็กน้อย ซึ่งถือเป็นปกติ
…แต่ตราของ “ตำหนักกุ้ยเฟย” กลับเป็นเพียงตราเดียว ที่ มีร่องรอยการใช้กับผ้าพระราชทานในช่วงที่ไม่ปรากฏชื่อเจ้าของในรายงานราชสำนัก
ซูเจินกัดฟันจนเสียงกรอด ยิ้มฝืน “บางทีบ่าวอาจหยิบผิด หรือมีผู้ใส่ร้ายกระหม่อมเพคะ”
เซียนหลันเพียงกล่าว “ในเมื่อข้าเคยถูกใส่ร้ายด้วยข้ออ้างเช่นนี้ ข้าย่อมไม่กล้าใช้มันกับผู้ใด”
ทุกคนตื่นตะลึงในคำตอบนั้น
ไม่ใช่เพราะนางกล่าวอย่างเฉียบขาด…แต่เพราะนางไม่กล่าวโต้ตอบด้วยโทสะ
กลับเพียงทิ้งคำตอบไว้ให้ทุกคน “ตีความ” ว่า ใครกันแน่…ที่ทำเรื่องแบบนี้จนเคยชิน
⸻
แต่ช่วงเวลาเงียบงันนั้นเอง
ขันทีนำผ้าไหมชุดหนึ่งมาวางตรงหน้า—เป็นของที่เพิ่งตรวจพบในห้องของนางกำนัลใกล้ชิดกับซูเมิ่งอวี่
ผ้าไหมนั้นตรงกับล็อตการเบิกที่ถูก “ปลอมตรา”
เสียงฮือฮาเริ่มดังในหมู่สนม ขณะเมิ่งอวี่หน้าเผือด
นางลุกพรวดจะกล่าวบางอย่าง แต่กลับสะดุดกับพื้นพรมเสียก่อน
นางเงยหน้าขึ้นมองเซียนหลัน ริมฝีปากสั่นระริก
แต่ยังพยายามแย้มยิ้ม “หม่อมฉัน…คงถูกจัดฉาก”
เซียนหลันเดินเข้าไปใกล้
นางก้มตัวลงเล็กน้อย หยุดห่างเพียงครึ่งก้าว
กล่าวเสียงแผ่ว
“ข้ายังไม่ลงมือ เจ้าก็ล้มเสียก่อนแล้วหรือ?”
คำพูดนั้นคล้ายเสียงเหล็กกระทบแก้ว เสียดลึกแต่เงียบสงบ
สะกดให้ทั้งห้องนิ่งเงียบ
⸻
ในขณะนั้นเอง
เสียงฝนแรกของฤดูพัดโปรยเม็ดเบาลงบนหลังคา
เฟิงอวี้หานยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กไปให้นางโดยไม่กล่าวคำใด
มือทั้งสองไม่ได้แตะกัน แต่ในชั่วขณะที่ผ้าผืนนั้นเปลี่ยนมือ—
สายตาของเขาจ้องนางแน่นิ่ง
แผ่วเสียงเอ่ย…แค่เบา ๆ แต่ทุกคนได้ยิน
“มีบางอย่างในตัวเจ้าที่ทำให้คนที่เคยไม่รู้จัก ‘ใจ’…เริ่มอยากรักษามัน”
ประโยคนั้นไม่ได้หวาน แต่ทำให้ห้องทั้งห้องกลายเป็นเวทีแห่งการเปลี่ยนแปลง
นางกำนัลที่เคยสบประมาทเริ่มหลบตา
ขุนนางฝ่ายในเริ่มซุบซิบ
แม้แต่ซูเมิ่งอวี่ก็เบิกตากว้าง
เพราะคนที่ไม่เคยยกย่องผู้ใด…กำลังป่าวประกาศชัดเจนว่า หญิงสาวตรงหน้า
ไม่ใช่แค่เจ้าหญิง…แต่เป็น “เพลิง” ที่สว่างแม้ในน้ำแข็ง
⸻
คืนนั้น เซียนหลันนั่งอยู่ริมโถงตำหนัก ห่มผ้าคลุมบางมองสายฝนผ่านม่าน
ทุกอย่างยังไม่จบ แต่นางรู้แล้ว—ว่าน้ำแข็งที่คลุมวังมานาน เริ่มละลาย
มือข้างหนึ่งแตะไปที่ตราประทับของตน
ในใจนาง มีเพียงหนึ่งคำที่ผุดขึ้น
“มารดา…ข้าจะคืนทุกสิ่งให้ท่าน ด้วยมือของข้าเอง”
⸻